"วิชาชีพสถาปนิก ในทรรศนะคติของข้าพเจ้า และฝึกงานมาแล้ว ได้อะไร??"
........เรียงความที่อาจารย์ให้ เขียน เป็นเรียงความที่ยากที่สุดในชีวิต มันทำให้ต้องนึกย้อนหลายๆอย่าง ทั้งที่เคยลืม และทั้งที่ยังคงจำได้ ทำให้นึกถึงหลายๆตัวละครในช่วงชีวิตหนึ่ง รวมถึงคนที่เราลืม คนที่ผ่านเข้ามา ซึ่งยังคงอยู่ และจากไป ต่างมอบแนวทาง วิถีชีวิต อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ความผูกพันธ์ ฯลฯ ไว้ให้........
คิดยังไง ตั้งแต่สมัยมัธยม ที่มาเลือกเรียนคณะฯนี้ มีอะไรดลใจ ให้อยากเป็น อยากทำอาชีพนี้ ?
........ผมเกิดที่น่าน ช่วงชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 18 ก็ดำเนินอยู่ที่นั่น ใช้ชีวิต คบกับกลุ่มเพื่อน เรียน เที่ยว เล่น หลายๆครั้งที่หากมีไทม์แมชชีนให้ย้อนกลับไป ผมคงไม่ลังเล........ สมัยปลายๆม.5เทอม 2 หากยังจำไม่ผิด หลายๆคนจะเตรียมตัวไปเรียน summer ช่วงปิดม.5 ขึ้นม.6 ที่เชียงใหม่ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ที่แตกต่างไปหน่อยคงเป็นการ ที่คณะสถาปัตย์ของมหาวิทยา ลัยเชียงใหม่ เขามีเปิดเรียน “ชิมลางสถาปัตย์” ช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม ผมกับเพื่อนอีกคนก็ได้มีโอกาสไป เรียน ตอนแรกเราทั้งสองค่อนข้างให้ความ สนใจในสาขาวิชานี้ เพราะอยากรู้ว่าเขาเรียนอะไร ยังไง ทำอะไร ช่วงเวลาการเรียน 10 วันนั้นคล้ายๆ การสรุปการเรียนการสอนในภาพรวมทั้ง 5 ปี ให้เรารู้ว่าสถาปัตย์มีรูปแบบ การเรียน การทำงานอย่างไร ผมมาลองนึกดูหลายๆอย่าง หลายๆวิชาก็เรียนคล้ายๆเรานะ แต่ไม่เหมือนกันทั้งหมด มีได้วาดเส้น ถอดvisualจากเพลง,ภาพ ได้ทำ logo เรียนประวัติศาสตร์ เรียนคอมพ์ ฯลฯ จนช่วง2-3 วันสุดท้าย ได้ออกแบบproject บ้านชั้นเดียว ยังจำได้เป็นบ้านของช่างภาพ ที่อยู่ติดทะเล ได้ทำแบบdesign และตัด model เป็น project แรกเลยก็ว่าได้ที่ได้ทำในวิชา ชีพนี้ มีเพื่อนหลายๆคนเลยนะที่ทำงานหลายๆ อย่าง ออกมาได้ดีมากจริงๆ จนทุกวันนี้ยังคิดว่าคนเหล่านี้มีศักยภาพมากพอที่จะเรียนสายนี้ แต่มาได้เจอกันตอนหลังหลายๆคนก็ไปเรียนวิศวะ ทันตะ วิดยา ฯลฯ ก็เป็นเรื่องน่าแปลกเหมือนกัน
(จริงๆอยากให้คณะเรามีแนะแนวแบบ นี้บ้าง หลายๆคนจะได้รู้ว่าจริงๆแล้วถา ปัดเขาเรียนอะไร แล้วมันใช่กับที่เราคาดหวังไว้มั้ย ) หลังจากที่ได้เรียนชิมลางฯ ทำให้เราเริ่มอยากเข้าเรียนคณะ นี้ และในหัวตอนนั้นไม่มีคณะไหนที่ น่าสนใจและอยากเรียน ให้ไปเรียนคณะอื่นก็ไม่เอา ไม่ชอบ อยากทำอะไรที่ทำให้ชีวิตไม่น่า เบื่อ มันคงสนุกดีถ้าเราทำอะไรที่เรา สนใจและเราอยากทำ........
........ช่วงชีวิตก็ดำเนินต่อไป ตามหน้าที่ของมัน ช่วงสอบเอนทรานซ์รอบแรก ประกาศผลประมาณพฤศจิกาฯ มั้ง ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นเอนฯเขาใช้ ภาษาไทย สังคม คณิตฯ ฟิสิกส์ ความถนัดทางสถาปัตย์ ปรากฎว่า คณิตฯเขาให้ผ่านเกณฑ์ที่ 25 คะแนน ดันได้ 23 ซะงั้น ( สมัยนั้นคณิตนี่แหละ อะไรกันนักกันหนา ) ก็ยังไม่ซีเรียส เพราะยังมีโอกาสสอบได้อีกรอบ ผลรอบสองออกมาประมาณเดือนมีนา สะเทือนอารมณ์ยิ่งกว่าเก่าอีก คณิตฯได้ 24
........อะไรเนี่ย!!!!!........
ตอนนั้นเริ่มคิดแล้วว่า หรือโชคชะตามันไม่ใช่เส้นทางของเราวะ รู้สึกหน้าอกมันมีรูโหว่ๆ กลวงๆ กลมๆ อยู่ตรงหน้าอก เป็นวงกว้างไปพักหนึ่ง ผิดหวัง สูญเสียความมั่นใจ กับสิ่งที่เราคาดหวังไว้ทั้งปี ( แต่ก็ยอมรับว่าช่วงชีวิตม.6 เตรียมตัวไม่ดี เที่ยว เล่นซะเยอะ แต่ได้สนุกกับเพื่อนๆ ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังอยากกลับไปอีกครั้ง ) ชีวิตช่วงนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกหลากหลาย สุข ทุกข์ เพื่อนๆหลายๆคน บ้างก็มีที่เรียนแล้ว บ้างก็ได้คะแนนเยอะพอที่จะยื่นเข้าคณะที่ตัวเองชอบ (เพื่อนที่เรียนชิมลางด้วยกัน ก็ติดถาปัด มช. ) บ้างก็ต้องเสี่ยง เช่นผม ผมลองยื่นเข้าคณะบริหารธุรกิจ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้นแหละ ประกอบกับที่บ้านตอนม.5 พ่อกับแม่มาทำธุรกิจส่วนตัว (เปิดร้านตอนวันขึ้นปีใหม่ ปี 2547 รู้สึกว่าเท่ห์ดี ) พวกท่านก็เห็นด้วย จริงๆแล้วพวกท่านให้อิสระในการ คิด ใช้ชีวิต กับผมมาก ผมอยากทำ อยากเรียนอะไร ก็แล้วแต่ผม แต่เมื่ออะไรๆมันไม่เป็นอย่างที่ เราคิด พวกท่านก็ยังยอมรับในการตัดสิน ใจ ให้การสนับสนุนเราอยู่ดี (ขอบคุณมากครับ) สุดท้ายก็ได้คณะนั้นแหละ ความคิดและความรู้สึกของผมตอนนั้น จริงๆแล้ว ตั้งแต่คะแนนเอนฯ รอบ 2 ออก ตั้งใจไว้แล้วว่า จะสอบใหม่ ผมอยากจะลองท้าทายกับชะตาชีวิ ตของตัวเองดู อยากลองดูซิว่ามันจะอะไรกันนักกันหนากะอีแค่คะแนนเดียว แล้วมันจะเปลี่ยนชีวิตคนมากเกินไปละ บางคนไปนั่งเดายังได้เยอะกว่านี้เลย อารมณ์ตอนนั้นเป็นอย่างนี้จริงๆ คาดหวังมาก ผิดหวังก็เสียใจมาก เต็มไปด้วยทิฐิ อยากเอาชนะตัวเองให้ได้........
........ชีวิตของ Freshy ปี 1 ก็เริ่มขึ้น พร้อมๆกับการต่อสู้กับตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ชีวิตทั่วไปก็ใช้ไปตามปกติ มีไปเรียน ไปทำกิจกรรมของคณะ ของชมรม softball (ได้แชมป์ freshyด้วย) เข้าร่วมกับสโมสรฯของจังหวัดน่าน (การรวมตัวของนศ.จังหวัดน่านที่ มช.) ได้พบกลุ่มคนที่หลากหลาย สนุกสนานที่ได้ทำอะไรหลายๆอย่างร่วมกัน มิตรภาพ หลายๆคน หลายๆเหตุการณ์ ที่ทุกวันนี้ก็ยังคงคิดถึงอยู่ แต่ภายในจิตใจเรายังคงกดดัน ต้องต่อสู้กับความคิดในตัว ล้มเลิก ท้อแท้ ประชดประชัน เข้มแข็ง คาดหวัง ฮึดสู้ มุ่งมั่น ฯลฯ กลับมาอ่านหนังสือสอบใหม่อย่าง ตั้งใจ มีวินัยในตัวเอง หลังๆนี่ ไม่ค่อยได้ไปเรียนแล้ว ลงวิชาน้อยๆ แต่ไปกับเพื่อนจังหวัดนี่ยังคง ไปอยู่ เทอม 2 ก็เหลือวิชาเรียน 3 ตัว มีเวลาอ่านหนังสือเยอะ ได้ทบทวนความคิดของตัวเองตลอด กับสิ่งที่ผ่านมาและกำลังจะเป็น ไป การตัดสินใจ การยอมรับกับสิ่งที่จะเป็นไป ตอนนั้นคิดว่าตัวเองโตขึ้นมาหน่อยนึง (อาจเพราะมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น มีสติมากขึ้น) สุดท้ายไปสอบด้วยกายและใจที่พร้ อม พร้อมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ สุดท้ายประกาศผล ได้ที่ลาดกระบังนี่แหละ เลือกไว้อันดับหนึ่ง ดีใจ กอดแม่กับพ่อไปหลายรอบ เหมือนกับว่าตั้งใจทำอะไรจริงๆ เราก็ทำได้ ตอนนั้นรู้สึกว่าการฝืนชะตาชีวิตมันก็เป็นเรื่องที่ท้าทายดี คิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีอะไรอีกแล้วทึ่จะตั้งใจ ทุ่มเท ทำอะไรแบบนี้ได้อีก ( แต่จริงๆแล้ว ชะตาคงรู้ว่ามาทางสายนี้ ต้องเจอกับอะไร โดยเฉพาะที่ลาดกระบังนี่ ผมช่างไม่รู้ตัวเลยจริงๆ สวรรค์มีทางให้เดินไม่ไป นรกทางตันกลับฝ่า )........
เมื่อเข้ามาเรียนแล้ว เป็นอย่างไร? เข้าใจว่าอย่างไร? แต่ละปีๆ ที่เรียน มีเหตุการณ์อะไรบ้างเกิดกับชีวิต
........ชิวิตของFreshy ปี 1 เริ่มต้นอีกครั้ง พร้อมๆกับอนาคตที่ไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร ช่วงชีวิตปี 1 อาจเพราะเคยเรียนชิมลางฯมาก่อน เลยไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ ในการเรียนว่าต้องเรียนอะไรบ้าง แต่ก็มีหลายอย่างที่ต้องปรับตัว เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความเคี่ยว การที่เมื่อก่อนไม่ค่อยไปเรียน นอนดึก ตื่นสาย กลายเป็นนิสัย ( สันดาน ) ติดตัวมาเรื่อย พอมาปี 2 วิชาอาจารย์จิ๋วไปสายบ่อย โดนด่าประจำ ได้เกรด D+ นี่เลยทำให้สำนึกมาหน่อย เลยเริ่มปรับตัวมาเรื่อยๆ ปี 3 เหตุการณ์ที่จำได้ดีคือก่อนขึ้น ปี 3 ไปเดินขึ้นดอยสุเทพ แก้บนกับครูบาศรีวิชัย (บนให้ติดลาดกระบังนี่แหละ) กับเพื่อนอีกคน รู้สึกว่าเหนื่อยมาก ไม่เคยกินน้ำส้มแฟนต้าที่อร่อย ขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ทั้งที่ตอนปี 1 ก็เคยรับน้องขึ้นดอยมาก่อน จริงๆแล้วชีวิตในการเรียนที่ลาดกระบังก็เหมือนกับการเดินขึ้นภูเขานี่แหละ เหนื่อยคนละแบบ เดินเอากล้าม แต่ก็อย่างว่า เมื่อเราถึงยอดเขามองย้อนกลับไป สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วและอย่างน้อยเราก็เอาชนะตัวเองมาได้ ปี 4 นี่เจอมรสุมของงานหนักมาก คิดว่าหนักสุดแล้วมั้งใน 4 ปีที่ผ่าน มีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า ถ้าตอนทำงานจริง งานเยอะขนาดนี้เงินเดือนต้องเป็นแสน ก็ตลกดี เพราะช่วงนั้นงานส่งแทบทุกวัน แล้วแต่ละอย่างก็..... ในช่วง 4 กว่าปีที่ผ่านมาความคิด แนวคิด อารมณ์ความรู้สึก ได้ถูกปรับเปลี่ยนไปตามสิ่งที่พบเจอมา หลายอย่างเปลี่ยนแปลงตัวเรา ทุกคนมีหน้าที่และบทบาท มีหน้าที่เรียนก็ต้องเรียน ก็ต้องแสดงหน้าที่ของตนตามบทบาท และหน้าที่ แต่ยังคงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตัวเรา ก็ยังคงเป็นตัวเราเหมือนเดิม สำหรับปี 5 คาดหวังไว้ว่า การเรียนทั้ง 2 เทอม จะผ่านไปได้ด้วยดี จะได้จบสักที เบื่อเรียนหนังสือแล้ว (เพื่อนๆเขาทำงานกันหมดแล้ว )........
แล้วคิดจะทำทีสิสเรื่องอะไร เพราะเหตุใด?
........ทิสิสทำ “ศูนย์ศึกษาสถาปัตยกรรม แห่งประเทศไทย” ซึ่งเป็นสถานที่ที่จะรวบรวมเรื่อง ราวประวัติศาสตร์ทางสถา ปัตยกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศ ไทย การก่อตั้งสมาคมฯ สภาสถาปนิก จัดแสดงเรื่องราวทางสถาปัตยกรรมที่สูญหาย ถูกทำลาย ( ศาลาเฉลิมไทย central world ฯลฯ) รวมถึงสถาปัตยกรรมที่ยังคงอยู่ วิถีชีวิตเรื่องราวทางวัฒนธรรมที่สะท้อนผ่านสถาปัตยกรรม ทิศทางของสถาปัตยกรรมในประเทศไทย ที่จะเป็นไปในอนาคต คล้ายๆกับที่ญี่ปุ่นมีพิพิธภัณฑ์ เอโดะที่แสดงเรื่องราว สภาพสังคมในยุคเอโดะ แต่น่าแปลกที่ไทยทำไมไม่มีรวบรวมไว้ ทั้งๆที่สถาปัตยกรรมเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่เราทำให้มันไกลตัวกันเอง และที่สำคัญสถาปัตยกรรมก็เป็นตัวสะท้อนอัตลักษณ์ของคนไทย ในแต่ละยุคสมัยด้วย เราน่าจะเรียนรู้ที่อยู่กับมัน อย่างเข้าใจนะผมว่า.....
จนถึงวันนี้ ที่ได้เริ่มเรียนวิชาการประกอบ วิชาชีพ แล้ว เข้าใจว่าอย่างไรกับวิชาชีพสถาปนิก??
........น่าตลกนะครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่พยายามจะไม่จำสิ่งที่ตัวเองเจอตลอด 4 ปีกว่าๆที่ผ่านมากับการเรียนคณะ นี้ แม้ว่าจะจำได้ทั้งหมดก็ตาม อาจเป็นเพราะเป็นเรื่องไม่น่าจำ กับการเรียนอันโหดร้าย ความกดดัน การต่อสู้กับตัวเอง ความพยายาม การนอนดึกและตื่นให้ไปเรียนทัน การคิดงานให้ออก (ทั้งที่คิดให้ตายตอนนั้นก็คิด ไม่ออก) เป็นสิ่งที่พยายามจะลืม แต่ทั้งหมดมันคือการหลอมรวมคุณสมบัติ เป็นความสามารถให้กับผู้ที่จะออกไปประกอบวิชาชีพ ซึ่งก็เหมือนกับสายอาชีพอื่นๆ ที่ไม่ว่าเราจะเรียนอะไร สุดท้ายเราก็เป็น ในสิ่งที่เราทำ สำคัญที่สุดก็คือการเรียนวิชา ชีพนี้ ให้ความรับผิดชอบกับตัวเรา ทั้งรับผิด และรับชอบ อะไรที่ผิดก็ยอมรับว่าผิด ทำได้ดีก็ต้องมุ่งหวังไม่ให้มันเลวลง ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งต่อตัวเอง การทำงานในอนาคต และต่อสังคม ตอนที่ฝึกงานทำให้พอจะรู้เค้าลางอาชีพสายนี้ มันมีบทบาทให้เราทำต่อไปอยู่แล้ว แต่ก็ยอมรับนะ ว่าจะให้ประสบความสำเร็จในสายนี้ ต้องใช้ความพยายาม อดทนอย่างมาก และต้องมีโชคด้วย ที่จะให้มันประสบความสำเร็จเหมือนที่ตั้งใจไว้ ไม่มีข้อแก้ตัว สำหรับคนที่จะออกไปประกอบวิชา ชีพสถาปนิก ที่เมื่อเราออกไปทำงานแล้ว ต้องทำให้ได้ ให้สมกับที่เราเรียนรู้มา........
ใครเป็นสถาปนิก Idol ที่คุณคิดว่าน่าจะเป็นแบบอย่างในการทำงานอาชีพสถาปนิก สถาปัตยกรรมชิ้นไหน ในทรรศนคติของคุณที่คิดว่า ดี...เป็นตัวอย่างในการทำผลงานที่คุณอยากจะทำ
........เคยมี Santiago calatrava เป็น idol ที่เคยทำให้อยากมาเรียนในสายนี้ แต่เพราะเรียนไป ทำให้เรารู้มากขึ้น เหตุผลในตัวเราก็มากตาม ปัจจุบันไม่มี idol ที่เป็นแบบอย่าง มีเพียงแนวคิดของใครหลายๆคน ที่ทำให้เราคิดตาม และยังคงเกิดคำถามว่าเราจะดำเนิ นแนวทางไปทางไหน สถาปัตยกรรรมก็เหมือนกัน งานทุกอย่างล้วนเป็นแนวทางที่เป็นบทเรียนให้ผม ทั้งงานที่ดีและไม่ดี แต่ในความเป็นจริงก็ยังปฎิเสธกฎเกณฑ์พื้นฐานของชีวิตคนเราทุกวันนี้ไม่ได้ สุดท้ายเมื่อเราจบไปก็ยังอยู่ใน ภาคของธุรกิจแบบทุนนิยม หวังจะให้ทำอะไร หรือเปลี่ยนแปลงอะไรในทางสถาปัตยกรรม ถามว่าทำได้รึเปล่า แน่นอนว่าทำได้ แต่จะทำอย่างไรล่ะ........
ช่วงฤดูร้อนที่ไปฝึกงาน ฝึกที่ไหน ฝึกกับใคร ได้ทำงานอะไร และมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ได้แง่คิด อะไรบ้างจากการฝึกงาน มีกิจกรรมอะไรบ้างที่เกี่ยวกับวิชาชีพที่คุณได้เข้าร่วมมา แล้ว เป็นอย่างไร?
........ summerก่อนขึ้นปี 5 มีโอกาสฝึกงานกับ palmerฯ ประเทศไทย พร้อมกับเพื่อนๆ อีก 3 คน รู้สึกขอบคุณที่นี่มากๆ ที่ได้ให้ประสบการณ์การทำงานใน office ใหญ่แบบนี้ มีพี่ๆที่ให้ความช่วยเหลือ แนะนำ ให้ความรู้ ในการทำงานหลายๆอย่าง ที่ชอบสุดคงเป็นเสียง ซู้ดน้ำชาของเจ้าของ office ท่านชอบมาซู้ดข้างหลังพนักงาน คงมาดูว่างานทำไปถึงไหนแล้ว มีรุ่นพี่หลายๆคนคอยให้ความช่วย เหลือ ต้องขอขอบคุณมากๆเลย ภูมิใจสุดคงเป็นการตัดโมเดลบ้านเจ้าของออฟฟิสนี่แหละ เป็นโมเดลที่คิดว่าเนี๊ยบที่สุด ในชีวิตผมแล้วมั้ง (แต่แกเปลี่ยนแบบบ่อยเหลือเกิน ) มีเรื่องตลกหลายๆอย่าง อาจเพราะช่วงเมษาฯ ต้องกลับไปเกณฑ์ทหารที่บ้าน และต้องเดินผ่านตลาดนัดของคนเสื้อแดง ตรงราชดำริแทบทุกวัน การอยู่ในที่ตั้งหลังสวนลุม ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่ศอฉ. ต้องการกระชับพื้นที่ การมีโอกาสได้ฟังคอนเสิร์ต+ทอล์ก โชว์ ของบรรดาบอยแบนด์และ superstar เมืองไทยอย่าง ทักกี้ ( ซึ่งต่อลำโพงมาถึงหน้าoffice) รู้สึกขอบคุณมากๆๆๆๆ ขนาดเจ้าของ office ยังหัวเราะชอบใจ ตอนวันที่ร้องเพลง zombies ........
จบการศึกษาแล้วท่านคิดว่า จะประกอบอาชีพอะไร? จะไปทำงานแบบไหน ส่วนตัวชอบที่จะทำอะไร?
........ที่คิดไว้ถ้าจะทำวิชา ชีพนี้ก็คงทำอย่างมากไม่เกิน 5 ปี ตั้งใจมาเรียนสายนี้ ต่อสู้มาถึงทุกวันนี้ เพราะต้องการพิสูจน์ตัวเอง ให้รู้ว่าเราตั้งใจทำ และทำได้ ตอนแรกที่เรียนเพราะสนใจที่จะ เรียน จะทำมันจริงๆ เหมือนกับหาคำตอบให้ตัวเอง ว่าอยากจะทำอะไรจริงๆ แต่พอมาถึงช่วงชีวิตตอนนี้ ถามว่าอยากเรียนถาปัดมั้ย ตอบเลยว่าอยาก และได้เรียนได้ทำแล้ว แต่จบไปจะทำงานสายนี้มั้ย ตอบเลยว่าทำ แต่คงทำได้ไม่นาน ที่ทำเพราะให้รู้ว่าเรียนมาสายนี้ จบมาแล้วสามารถทำงานได้ ได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก หลังจากนั้นคงไปทำอะไรที่อยากทำ ต่อไป อีกอย่างตอนนี้เพราะได้คุยกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน หลายๆคนคิดเหมือนกัน เราได้ทำในสิ่งที่เราเรียนมา แต่มันยังไม่ใช่คำตอบในสิ่งที่เราค้นหา ว่ามันเป็นสิ่งที่เราตามหาอยากทำมันจริงๆ หรือเปล่า ผมก็เหมือนกัน ตอนนี้ยังคงถามและค้นหาต่อไปว่า สิ่งที่อยากทำจริงๆคืออะไร (เคยตัดสินใจตอนสอบเอนฯ และสอบแอดฯ มา 2 ครั้ง แต่ผมว่ามันก็ยังไม่ใช่คำตอบของ ชีวิตผมหลังอายุ 20 ปีอยู่ดี ) เวลาก็ยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่ หากถามคำถามนี้ตอนเรียนจบแล้ว หรืออีกสัก 5 ปี คำตอบอาจต่างไป (อยากแต่งงานกับคนจีนเหมือนกัน นะ อยากรู้ว่ากราบไหว้ฟ้าดินแล้วจะ รู้สึกยังไง )........
........ชีวิตที่ผ่านมา ให้ผมเปรียบตัวเอง ก็เหมือนคนไม่ใส่เสิ้อผ้า มีเพียงกายและใจ ที่ต้องยืนอยู่กลางแดดอุ่นๆ บรรยากาศดีๆ สายลมเย็นๆ ฉับพลันก็มีมรสุมผ่านเข้ามา ให้ได้รู้สึกถึงความยากลำบาก แต่ข้อดีของมรสุมก็คือมันมีของ มันอยู่เรื่อยๆ........
........แต่มีอยู่อย่างที่คิดไว้ และต้องทำมันแน่ๆ คงซักประมาณหลังอายุ 30 คิดว่าคงกลับไปอยู่ที่บ้าน สงสารคนแก่อยู่บ้านกันแค่ 2 คน คงจะเหงาน่าดู อ้อ!ข้อดีของสายอาชีพนี้อีกอย่าง มันทำให้ผมรู้ว่า บ้านมันใหญ่เกินไปที่จะอยู่กัน แค่ 2 คน........
........ขอบคุณอาจารย์ไก่ที่ให้ โอกาสเขียน และรบกวนด้วยครับที่กรุณาอ่านเรียงความยาวๆบทนี้........
........ตฤณ เดี่ยวตระกูล รหัส 49020135 ........( มาเรียนตามปกติ)........
พี่เขียนได้ดีนะค่ะ.. ^^ เวลาการได้อ่านชีวิตของใครหลายๆๆคนก็ทำให้รู้...อะไรหลายๆๆอย่างและเอาแนวคิดดีๆๆมาปรับใช้กับตัวเอง
ตอบลบ